ระบบน้ำภายในบ้าน

ระบบน้ำภายในบ้าน

     ระบบน้ำในบ้าน โดยทั่วไปน้ำจากการประปามักมีแรงดันต่ำ จึงมักเกิดปัญหาเมื่อต้องใช้งานในบ้านสูงกว่า ถ้าบ้านอยู่ในพื้นที่ที่มีบ้านเรือนหนาแน่นก็จะเกิดการแย่งกันใช้น้ำ อย่างเช่น วันเสาร์-อาทิตย์คนส่วนใหญ่มักอยู่บ้านซักเสื้อผ้า รดน้ำต้นไม้ ทำความสะอาดบ้าน ล้างรถ ทำให้แรงดันน้ำต่ำลง จนบางครั้งน้ำไม่ไหลเลย(ก็มี) ดังนั้นเราจึงนิยมใช้ปั๊มน้ำมาช่วยเพิ่มแรงดันน้ำให้สูงขึ้น สามารถติดตั้งได้หลายรูปแบบ แต่ในที่นี้ขอแนะนำ 2 ระบบที่นิยมใช้งานกันดังนี้

ระบบน้ำ ระบบจ่ายน้ำขึ้น

ระบบที่ 1 ระบบจ่ายน้ำขึ้น

         ระบบที่ 1 ระบบจ่ายน้ำขึ้น เป็นระบบที่นิยมใช้ทั่วไปเหมาะกับบ้านที่สูงไม่เกิน 2 ชั้นโดยแยกย่อยระบบการจ่ายน้ำออกเป็นอีก 2 ระบบ คือ การจ่ายตรงจากท่อน้ำประปาหลักเป็นการต่อท่อน้ำโดยตรงในบ้าน แต่หากเกิดน้ำพร้อมกันหลายจุด น้ำจะไหลอ่อนได้ ปัจจุบัน จึงใช้วิธีเก็บน้ำใส่ถังไว้แล้วจึงใช้ปั๊มน้ำเข้ามาช่วย เพราะหากต่อจากท่อน้ำโดยตรงเลย จะเป็นการดูดน้ำจากสาธารณะโดยตรง ซึ่งส่งผลต่อส่วนรวม และยังเป็นการทำผิด

การแก้ปัญหาน้ำประปาไหลช้าไหลน้อยด้วยวิธี

“ต่อปั๊มน้ำตรงเข้ากับท่อประปาสาธารณะ”

ให้ดูดน้ำเข้ามาในบ้านของตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง

           โดยติดตั้งปั๊มน้ำกับแท็งก์น้ำที่อยู่ชั้นล่าง อาจตั้งไว้หน้าบ้านหรือหลังบ้านก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสมในการเดินท่อน้ำเข้าสู่ตัวบ้าน โดยหลักการเราจะตั้งแท็งก์เพื่อเก็บน้ำที่ผ่านจากมิเตอร์หน้าบ้าน แล้วจึงต่อมายังปั๊มน้ำเพื่อเพิ่มแรงดันน้ำ ให้สามารถจ่ายน้ำขึ้นไปยังชั้นที่อยู่สูงขึ้นไปได้ระบบนี้ปั๊มจะทำงานเมื่อเปิดใช้น้ำและหยุดทันทีเมื่อปิดน้ำ หากไม่มีผู้ใช้น้ำแต่ปั๊มยังทำงานเองเป็นครั้งคราว นั่นแสดงว่าในระบบท่อน้ำดีมีการรั่วซึม จำเป็นต้องตรวจสอบและแก้ไขกันต่อไป

ระบบที่ 2 ระบบจ่ายน้ำลง

ระบบที่ 2 ระบบจ่ายน้ำลง

      ระบบที่ 2 ระบบจ่ายน้ำลง ระบบนี้จะเหมาะกับอาคารที่สูง 3 ชั้นขึ้นไป โดยการทำงานจะทำการสูบน้ำขึ้นไปบนถังเก็บน้ำที่ติดตั้งชั้นบน แล้วจ่ายน้ำลงมาชั้นล่าง น้ำจะไหลเร็วตามแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งอาคารที่ใช้น้ำระบบนี้ไม่ควรสูงเกิน 12 ชั้น เพราะระบบน้ำจะแรงเกินไป วิธีการติดตั้งสำหรับชั้นบนควรตั้งถังเก็บน้ำให้ห่างกันอย่างน้อย 10 เมตร เพื่อให้น้ำไหลแรงขึ้น แต่ถ้ามีพื้นที่น้อยไม่ถึง 10 เมตร ควรติดตั้งเครื่องสูบน้ำ กับถังอัดแรงดัน

     เหมาะกับบ้านขนาดใหญ่ที่มีผู้อยู่อาศัยจำนวนมาก มีห้องน้ำหลายห้อง และมักใช้งานพร้อมๆกัน ทำให้ระบบที่ 1 จ่ายน้ำไม่เพียงพอ จุดเริ่มของระบบที่ 2 นี้ จะคล้ายระบบที่ 1 คือ ติดตั้งแท็งก์ตัวที่ 1 ต่อจากมิเตอร์หน้าบ้าน แล้วต่อท่อมายังปั๊มน้ำ จากนั้นต่อท่อขึ้นไปยังแท็งก์ตัวที่ 2 ซึ่งอยู่บนอาคาร (ระดับสูงกว่าห้องน้ำชั้นบนสุดของบ้านประมาณ 6 เมตร) อาจตั้งอยู่บนพื้นหลังคาคอนกรีตเสริมเหล็ก (ค.ส.ล.) หรือวางบนขาตั้งเหล็กสูงที่ตั้งบนดาดฟ้าอีกทีหนึ่งก็ได้ และแท็งก์ตัวที่ 2 นี้ จะทำหน้าที่จ่ายน้ำไปยังจุดใช้น้ำต่างๆภายในบ้านระบบนี้ต้องใช้งบประมาณสูงกว่าระบบที่ 1 แต่จะประหยัดค่าไฟ เพราะปั๊มน้ำจะทำงานน้อยกว่า กล่าวคือ ระบบที่ 1 ปั๊มน้ำจะทำงานทุกครั้งที่มีผู้ใช้น้ำ แต่ระบบที่ 2 ปั๊มน้ำจะทำงานเมื่อปริมาณน้ำในแท็งก์ตัวที่ 2 ลดลงประมาณหนึ่งในสาม ปั๊มจะดันน้ำเข้าไปเติมให้เต็มแท็งก์ดังเดิม    ห้ามต่อปั๊มน้ำเข้ากับมิเตอร์หน้าบ้านเพื่อดึงน้ำจากท่อประปาโดยตรง นอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว หากน้ำประปาหยุดไหลหรือไหลน้อยจะทำให้ปั๊มน้ำเสียหายหรือไหม้ได้  ควรเลือกปั๊มน้ำที่มีกำลังมอเตอร์ของปั๊มให้เหมาะกับขนาดของบ้านและพฤติกรรมการใช้น้ำถ้าเป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียวหรือทาวน์เฮ้าส์ อยู่กันแค่ 2-3 คน ให้เลือกขนาด 150วัตต์ก็พอ แต่หากเป็นครอบครัวใหญ่และชอบใช้น้ำในเวลาใกล้เคียงกันก็ต้องใช้ปั๊มที่มีกำลังวัตต์สูงขึ้นด้วย คิดง่ายๆถ้าเป็นบ้านเดี่ยวหรือตึกแถว 2-3 ชั้นมีห้องน้ำ 2-3 ห้องก็ควรเลือกใช้ขนาด 250-300 วัตต์ขึ้น  การเลือกขนาดของถังเก็บน้ำให้เหมาะกับผู้อยู่อาศัยในบ้านคิดง่ายก็คือ คนเราใช้น้ำเฉลี่ยวันละ 200 ลิตร (ทั้งดื่มและใช้) ถ้าบ้านเรามีสมาชิก 4 คนก็เอา 200 คูณเข้าไปแล้วบวกกับจำนวนวันที่ต้องการสำรองน้ำไว้ใช้ยามคับขัน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็เป็นตัวเลขของถังเก็บน้ำที่ควรซื้อมาใช้งานนั่นเอง